เที่ยวไหนดี ที่ “อุทัยธานี”

เมืองไทยเราน่าเที่ยวไม่น้อย จะเป็นจังหวัดเล็กหรือจังหวัดใหญ่ก็ล้วนแต่มีเสน่ห์ในตัว น่าเที่ยวไปกันคนละแบบ และวันนี้จะขอพาเที่ยวจังหวัดเล็กๆแบบสโลไลฟ์ อย่าง “อุทัยธานี” กัน ซึ่งที่นี่หากคุณได้ลองมาเที่ยวดูสักครั้ง จะต้องชอบ!!!

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ “จังหวัดอุทัยธานี” กันก่อน

จังหวัดอุทัยธานี เดิมสะกดว่า “อุไทยธานี” มีหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ของกรมศิลปากรยืนยันไว้ว่า เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว โดยพบหลักฐานยืนยันในหลายพื้นที่ เช่น โครงกระดูก เครื่องมือหินกะเทาะจากหินกรวด ภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์บนหน้าผา (เขาปลาร้า) เป็นต้น

ตำนานเก่าได้เล่าว่า ในสมัยกรุงสุโขทัยเจริญรุ่งเรือง ท้าวมหาพรหมได้เข้ามาสร้างเมืองที่บ้านอุทัยเก่า คือ อำเภอหนองฉางในปัจจุบันนี้ แล้วพาคนไทยเข้ามาอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านคนมอญและคนกะเหรี่ยง จึงเรียกว่า “เมืองอู่ไทย” ตามกลุ่มหรือที่อยู่ของคนไทยซึ่งพากันตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น มีพืชพันธุ์และอาหารอุดมสมบูรณ์กว่าแห่งอื่นๆ ต่อมากระแสน้ำเปลี่ยนทางเดินและเกิดกันดารน้ำ เมืองอู่ไทยจึงถูกทิ้งร้าง จนในที่สุด พะตะเบิดได้เข้ามาปรับปรุงเมืองอู่ไทย โดยขุดที่เก็บกักน้ำไว้ใกล้เมือง และพะตะเบิดได้เป็นผู้ปกครองเมืองอู่ไทยเป็นคนแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา

สำหรับเมืองเล็กๆอย่างอุทัยธานีนี้ ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมมากมาย จะมีที่ใดและเป็นอย่างไรบ้างนั้น เรามาเที่ยวไปพร้อมๆกันครับ

อันดับแรกเมื่อเลี้ยวรถเข้าเมืองอุทัยธานี จะเห็นทิวเขาตั้งเด่นเป็นสง่า นามว่า “เขาสะแกกรัง” ซึ่งเป็นภูเขาที่ตั้งกั้นเมืองอุทัยทางทิศตะวันตกก่อนที่จะเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง แต่เดิมเรียกกันว่าเขาแก้ว เป็นที่ตั้งของวัดสังกัสรัตนคีรี เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2443 ยอดเขาสะแกกรังเป็นดินแดนที่ชาวอุทัยยกให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เปรียบให้เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปเทศนา โปรดพระพุทธมารดาบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วเสด็จกลับสู่โลกมนุษย์ ซึ่งตามพุทธประวัติกล่าวว่าพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาที่เมืองกัสนครและกลายมาเป็นชื่อวัดสังกัสรัตนคีรี

ภายในวัดเป็นที่ ประดิษฐานของพระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของที่นี่มาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ชาวเมืองต่างให้ความเคารพศรัทธาเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวิหารหลังใหม่ฝั่งตรงข้ามบันไดทางขึ้นยอดเขาสะแกกรัง นอกจากนี้ยังมี พระมณฑปทรงไทย นามว่า สิริมหามายากุฎาคาร ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งย้ายมาจากวัดจันทาราม สร้างเมื่อ พ.ศ. 2448

และเนื่องจากยอดเขาสะแกกรังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และวัดสังกัสรัตนคีรีเป็นวัดสำคัญ ในวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 (ตุลาคม) ของทุกปี ชาวอุทัยธานี จะจัดงานประเพณี ตักบาตรเทโว โดยจะจัดงานจำลองเหตุการณ์ คล้ายในพุทธประวัติมากที่สุด มีพระสงฆ์ทุกรูปที่จำพรรษาอยู่ในอำเภอเมืองอุทัย เดินลงจากยอดเขาสะแกกรังทางบันไดมาให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญตักบาตรกัน

ขึ้นเขาเที่ยววัดกันแล้ว เราก็เข้าวัดไหว้พระและชมความงามของสถาปัตยกรรมกันต่อ โดยในจังหวัดอุทัยธานีมีวัดที่สวยงามมากมาย อาทิ “วัดอุโบสถาราม” และ “วัดท่าซุง” เป็นต้น


“วัดอุโบสถาราม” หรือเรียกสั้นๆว่า “วัดโบสถ์” เป็นศาสนสถานเก่าแก่ที่ตั้งอวดสายตางดงามอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง เดิมวัดแห่งนี้มีชื่อว่า “วัดโบสถ์มโนรมย์” อยู่คู่เมืองอุทัยธานีมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น งดงามและโดดเด่นด้วย “พระอุโบสถ” ซึ่งภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย 5 องค์ ผนังทั้ง 4 ด้านงดงามไปด้วยจิตรกรรมฝาผนัง ที่สรรค์สร้างโดยฝีมือจิตรกรสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เขียนเรื่องราวประวัติของพระพุทธองค์ ตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน

“พระวิหาร” ซึ่งตั้งอยู่คู่กันกับพระอุโบสถ พระประธานภายในพระวิหารเป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ ขนาบซ้ายขวาด้วยพระพุทธรูปฝั่งละหนึ่งองค์ ฝาผนังยังคงมีงานจิตรกรรม ว่าด้วยเรื่องของพระมาลัย พระอสีติมหาสาวก และพระอสุภกรรมฐาน 10 , “เจดีย์สามสมัย” ตั้งอยู่ด้านหลังพระวิหาร เจดีย์ทั้งสามองค์มีรูปแบบที่แตกต่างกัน ได้แก่เจดีย์ทรงระฆังศิลปะแบบอยุธยา เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองศิลปะรัตนโกสินทร์ และเจดีย์ทรงระฆังเหลี่ยมศิลปะผสมผสานระหว่างอยุธยาและรัตนโกสินทร์ , “มณฑปแปดเหลี่ยม” ที่นับว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญของวัดนี้เลยก็ว่าได้ เป็นมณฑปสถาปัตยกรรมแบบยุโรปสูงสองชั้น จากประวัติที่เล่าต่อกันมาเล่าว่า มณฑปนี้สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2442 โดย “หลวงพิทักษ์ภาษา” เพื่อถวายแก่ “พระครูอุไททิศธรรม” เจ้าอาวาสวัดอุโบสถารามในขณะนั้น เพื่อให้ท่านจำพรรษา แต่ทว่าพระครูอุไททิศธรรมได้มรณภาพลงเสียก่อน มณฑปแห่งนี้จึงถูกใช้เป็นที่ทำศพและเป็นที่ประดิษฐานอัฐิธาตุพร้อมข้าวของเครื่องใช้ของท่านแทน และหากยืนจากมณฑปแปดเหลี่ยมแล้วมองไปทางแม่น้ำสะแกกรัง จะเห็น “แพโบสถ์น้ำ” เรือนแพไม้อันสง่างามตั้งอยู่กลางน้ำ โดยแพโบสถ์น้ำถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้รับเสด็จในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองอุทัยธานีในปี พ.ศ.2499 ปัจจุบันได้ถูกปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยให้กลายเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและงานบุญต่างๆ


“วัดท่าซุง”
วัดท่าซุง หรือ วัดจันทาราม ตั้งชื่อตามอดีตเจ้าอาวาสชื่อจันท์ ในสมัยพระนารายณ์มหาราช นายทหารชื่อจันท์ กลับจากศึกเชียงใหม่ มาตามหาภรรยาไม่พบเลยมาบวชที่วัด ต่อมาเป็นสมภาร เปลี่ยนชื่อวัดมาเป็น วัดจันทาราม ตามชื่อท่านสมภาร หรืออีกชื่อหนึ่งที่บุคคลทั่วไปนิยม เรียกว่า วัดท่าซุง เพราะในอดีตจังหวัดอุทัยธานีมีป่าไม้มาก จึงมีการขนส่งท่อนซุงมาลงท่าน้ำ ซึ่งมีแม่น้ำสะแกกรังไหลผ่านบริเวณวัดท่าซุง เพื่อผูกเป็นแพล่องไปตามแม่น้ำ

ภายในวัดท่าซุงมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ “วิหารแก้ว 100 เมตร” เป็นวิหารสำคัญที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้สร้างไว้ก่อนมรณะภาพ รวมทั้งยังเป็นที่รักษาสังขารร่างของหลวงพ่อที่ไม่เน่าเปื่อยในโลงแก้วอีกด้วย ภายในสร้างด้วยโมเสคสีขาวใสดูเหมือนแก้ววาววับ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปจำลองพระพุทธชินราช ซึ่งเป็นพระประทานในวิหาร วิหารแก้วจะเปิดให้ชมเป็นช่วงเวลา คือ ช่วงเช้า ตั้งแต่ 9.00-11.45 น .และช่วงบ่าย 14.00-16.00 น. , “ปราสาททองคำ” ตกแต่งด้วยทองคำ สร้างด้วยฝีมือที่ประณีตงดงาม โดย ปราสาททองคำ(กาญจนาภิเษก) สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่รัชกาลที่ 9 ในวาระที่ทรงเสวยราชย์เป็นปีที่ 50 และทางสำนักพระราชวังได้ให้ชื่อปราสาททองคำใหม่ว่า “ปราสาททองกาญจนาภิเษก” ปราสาทนี้ก่อสร้างด้วยการก่ออิฐฉาบปูน ประดับลวดลายไทยปิดทองคำเปลว ติดกระจกใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ญาติโยมถวาย รอบนอกปราสาทใช้ทองคำเปลวปิดรอบปราสาท

นอกจากนี้ภายในวัดท่าซุงยังมีจุดแวะชมที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น มณฑปพระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระศรีอาริเมตตรัย วิหารสมเด็จองค์ปฐม หอพระไตรปิฏก – หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา เจดีย์พุดตาน มณฑปและวิหารอีกหลายแห่ง ที่แต่ละแห่งมักจะติดวัสดุกระจกและล้อมรอบด้วยแก้วใส


เที่ยวไหว้ ไหว้พระขอพร ในอุทัยกันแล้ว ก็มาเที่ยวชมธรรมชาติกันบ้าง ซึ่งที่ไม่ควรพลาดแวะมาก็ได้แก่ “หุบป่าตาด” ที่จะพาคุณๆย้อนอดีตไปสู่โลกยุคจูราสสิค

“หุบป่าตาด” ตั้งอยู่ในเขตตำบลทุ่งนางาม อำเภอลานสัก เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสวยงามแปลกตา โดยได้ถูกประกาศจากกรมอุทยานแห่งชาติ ให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ เนื่องจากมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แปลกตาด้วยพันธุ์ไม้หายากหลายชนิด เช่น เต่าร้าง เปล้า คัดค้าวเล็ก และขนุนดิน เป็นต้น ซึ่งหุบป่าตาดมีลักษณะเป็นโถงถ้ำขนาดใหญ่ ที่ภายในคือผืนป่าที่เต็มไปด้วยต้นตาดและพืชพันธุ์โบราณแปลกตา ถ้ำหุบป่าตาดนั้นค้นพบโดยพระครูสันติธรรมโกศล (หลวงพ่อทองหยด) เจ้าอาวาสวัดถ้ำทอง เมื่อปี พ.ศ. 2522 ครั้งนั้นพระครูได้ปีนลงไปในหุบเขานี้ แล้วพบว่ามีต้นตาดขึ้นอย่างอยู่เต็มไปหมด ต้นตาดนั้นจัดเป็นไม้ดึกดำบรรพ์ตระกูลเดียวกับปาล์ม ท่านจึงได้เจาะถ้ำเพื่อเป็นทางเข้าไปสู่หุบป่าตาดในปี พ.ศ. 2527

ระยะทางในการเดินชมธรรมชาติของหุบป่าตาด ไป-กลับ 700 เมตร ใช้เวลาชมประมาณ 30 นาที เป็นเส้นทางเดินชมธรรมชาติที่เดินสบายๆเพลินๆ ได้เห็นต้นตาดขึ้นปกคลุมหนาแน่นในวงล้อมของผาหินที่เต็มไปด้วยหินงอก หินย้อย รูปร่างสวยงามแปลกตา ทั้งมีจุดชมวิวที่เผยให้เห็นภาพอันน่ามหัศจรรย์ของป่าตาด พืชตระกูลปาล์มที่มีใบเป็นแฉกแผ่กว้าง ชอบขึ้นในพื้นที่ป่าดงดิบที่มีอากาศเย็นชื้นหนาทึบ

หากมาเที่ยวสถานที่แห่งนี้ในช่วงฤดูฝน ประมาณเดือนสิงหาคม – พฤศจิกายน จะได้พบกับเจ้า “กิ้งกือมังกรสีชมพู” ที่มีสีชมพูสดใสคล้ายกับเกสรดอกไม้ มีลักษณะโดดเด่นด้วยลวดลายและปุ่มหนามคล้ายมังกร พบได้ในป่าที่มีความชุ่มชื้นสูงและอุดมสมบูรณ์ ถือว่าเป็นสัตว์ไฮไลต์ของที่นี่ ที่พบได้แห่งเดียวในโลก โดยกิ้งกือมังกรสีชมพูจะคลานอยู่ตามพื้นกำแพงทางเดินบ้าง ตามต้นไม้บ้าง ต้องสังเกตให้ดีเนื่องด้วยตัวค่อนข้างเล็ก

หุบป่าตาด เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 8.30 น. – 16.00 น. ค่าเข้าชมชาวไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท ในวันหยุดสุดสัปดาห์จะมีมักคุเทศก์น้อยคอยพานำเที่ยวชม

โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวหุบป่าตาดคือช่วง 11.00 -13.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่แสงส่องลงมายังหุบป่าตาด ทำให้เห็นประกายของหินแวววับในโพรงถ้ำสวยงามมาก สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน โทรศัพท์ 056-989128


เที่ยวหุบป่าตาดจนเพลิน เดินจนเหนื่อยแล้ว คงเกิดอาการหิวกันบ้าง ก็ได้เวลาหาอะไรอร่อยๆกินกัน ซึ่งอาหารขึ้นชื่อของอุทัยธานีนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นปลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ปลาแรด” ที่มีมากในแม่น้ำสะแกกรัง และมีรสชาติอร่อยกว่าที่อื่นๆ นอกจากนี้เมนู “ทอดมัน” ก็ถือเป็นเมนูเด็ดของที่นี่ และหากอยากกินเมนูพวกนี้ก็สามารถหารับประทานได้ตามร้านอาหารทั่วไปหรือในตลาด ซึ่งขอแนะนำกับ “ตลาดเช้า”

“ตลาดเช้าเมืองอุทัย” หรือ “ตลาดเช้าลานสะแกกรัง” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง ซึ่งที่นี่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของคนเมืองแพ และวิถีชีวิตชาวสะแกกรัง โดยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า “ถ้าอยากสัมผัสวิถีชีวิตที่แท้จริงให้มาเดินเที่ยวตลาดเช้า”

ตลาดแห่งนี้เริ่มต้นเมื่อฟ้าสราง มีอาหารการกินพื้นบ้านทั้งคาวและหวานให้เลือกซื้อเลือกหามากมาย ไม่ว่าจะเป็น โจ๊ก ก๋วยจั๊บ ขนมจีน หมูปิ้ง แป้งจี่ ขนมครก ข้าวราดแกง น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ทอดมัน กุ้งทอด ปลาทอด ข้าวหลาม ฯลฯ ทั้งที่นี่ยังมีของสดให้เลือกจับจ่ายไปทำกับข้าวมากมาย ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ ปลานานาชนิด ทั้งปลาสดและปลาแห้ง และพืชผักพื้นบ้าน เป็นต้น นอกจากนี้ในยามเช้าจะมีพระมาบิณฑบาต ซึ่งเราสามารถซื้ออาหารสำเร็จรวมทั้งดอกไม้ใส่บาตรได้

เดินตลาดยามเช้ากันแล้ว ยามค่ำที่เมืองอุทัยแห่งนี้ก็มี “ตรอกโรงยา” ให้เดินเที่ยวในแบบฉบับถนนคนเดิน โดย “ถนนคนเดินตรอกโรงยา” เป็นอีกสถานที่ที่สามารถสะท้อนเรื่องราวและบรรยากาศของความเป็นเมืองอุทัยได้เป็นอย่างดี ซึ่งครั้งอดีตที่นี่เคยเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยของชาวจีน อีกทั้งเป็นแหล่งสูบฝิ่นซึ่งเปิดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงเรียกตรอกนี้จนติดปากว่า “ตรอกโรงยา” ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2500 รัฐบาลประกาศให้ฝิ่นเป็นสิ่งเสพติดผิดกฎหมาย ตรอกโรงยาจึงซบเซาลงไปโดยปริยาย จนกระทั่งได้ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง กลายเป็นถนนคนเดินกลางเมืองอุทัยธานี ที่ยังคงทิ้งร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีต ผ่านบ้านไม้เก่าแก่ที่ได้ถูกปรับปรุงกลายเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ รวมถึงร้านขายของที่ระลึก

ถนนคนเดินตรอกโรงยาเปิดทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 4 โมงเย็นจนถึงสองทุ่ม ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอุทัย ไม่ไกลจากตลาดเช้าลานสะแกกรังและวงเวียน หากมาพักค้างคืนที่พักในตัวเมือง มาเดินที่นี่สิ่งที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ ชิมหมูสะเต๊ะเจ้าดัง “หมูสะเต๊ะคุณอ้อ” หรือ “หมูสะเต๊ะร้อยคิว” หมูสะเต๊ะของที่นี่เป็นหมูสะเต๊ะรสดี เนื้อนุ่ม จึงมีผู้คนให้ความสนใจมาลิ้มรสมากมาย , “บ้านนกเขา” บ้านที่สะสมภาพเก่าของอุทัยธานี และสถานที่ต่างๆ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ในอดีต , “บ้านรักษ์อุทัย” อยู่ติดกับบ้านนกเขา เป็นอีกบ้านที่สะสมของเก่าต่างๆ ทั้ง ทีวี ถ้วยชาม เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องรีดทอง รวมถึงรูปภาพเก่าๆ


ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวเมืองอุทยธานีเท่านั้น อุทัยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวและของดีอยู่อีกเเพียบ รอให้คุณๆแปกเป้มาเที่ยวกัน ซึ่งเชื่อได้เลยว่าหากคุณได้มาเที่ยวอุทัยสักครั้ง คุณจะต้องหลงรักเมืองเล็กๆแห่งนี้เป็นแน่!!!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *