“เมล่อน” หอม หวาน อร่อย กินดีมีประโยชน์หลากหลาย
เมื่อวันก่อนมีโอกาสไปฟาร์มเมล่อนแห่งหนึ่งในอำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ในชื่อ “อาร์มฟาร์ม” ซึ่งที่นี่ปลูกเมล่อนหลากหลายสายพันธุ์ป้อนสู่ตลาด ทั้งยังมีการทดลองปลูกสายพันธุ์ใหม่ๆให้คอเมล่อนได้ลิ้มลองกันอีกด้วย โดย “เมล่อน” เป็นผลไม้ที่หลายต่อหลายคนชื่นชอบ เนื่องด้วยรสชาติหวานและมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน พร้อมกันนี้ เมล่อน ยังมีอีกประโยชน์มากโข ชาวญี่ปุ่นมักจะนิยมนำเมล่อนไปเป็นของเยี่ยมไข้ผู้ป่วย
“เมล่อน” เป็นผลไม้รสหวานประจำฤดูร้อน เป็นพืชตระกูล “แตง” คล้ายแคนตาลูป ที่มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปแอฟริกา ซึ่งมีหลักฐานบันทึกว่า ชาวอียิปต์เคยปลูกแตง เมื่อ 500 ปีที่แล้ว โดยพระเจ้าชาร์ลสที่ 8 กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ได้นำแตงมายังฝรั่งเศสและประเทศอื่นๆในทวีปยุโรป และตั้งชื่อผลไม้ชนิดนี้ว่า แคนตาลูป โดยชื่อนี้มีที่มาจากเมืองหนึ่งในประเทศอิตาลี ที่มีชื่อว่า แคนตาลูโป้
ในเมืองไทยเรานั้นนิยมปลูกเมล่อนพันธุ์จากประเทศญี่ปุ่น เนื่องด้วยมีความหวาน หอม อร่อย เนื้อและลวดลายมีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งสำหรับชาวญี่ปุ่นนั้น ในช่วงฤดูร้อนหรือช่วงเดือนมิถุนายน จะนิยมกินผลไม้ที่มีความหวานฉ่ำน้ำ เป็นการคลายร้อนและเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย โดยว่ากันว่าจะกินเมล่อนให้อร่อยนั้น ก่อนกินควรแช่เย็นไว้ประมาณ 4-6 ชั่วโมง และเพื่อให้ความหวานของเมล่อนสม่ำเสมอทั่วทั้งผล ให้คว่ำด้านขั้วเมล่อนลงก่อนกิน 30 นาที – 1 ชั่วโมง จากนั้นผ่าครึ่ง ใช้ช้อนเขี่ยเมล็ดทิ้ง ที่สำคัญไม่ควรใช้มีดปาดไส้กลางทิ้ง แบบการปลอกมะละกอ เนื่องจากไส้กลางบริเวณที่ติดกับเมล็ดนั้นเป็นส่วนที่หวานที่สุดของเมล่อน หลังจากนั้นนำมาผ่าเป็นเสี้ยวๆ แล้วตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ ก็จะได้กินเมล่อนที่หวานและหอม อร่อยที่สุด พร้อมกันนี้ไม่ควรแช่เมล่อนที่หั่นเป็นชิ้นๆทิ้งไว้ในตู้เย็น เนื่องด้วยจะทำให้เสียรสชาติและกลิ่นหอมไป
“เมล่อน” เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ โดยเมล่อนปริมาณ 177 กรัม มีพลังงาน 64 แคลอรี่ คาร์โบไฮเดรต 16 กรัม ไฟเบอร์ 1.4 กรัม โปรตีน 1 กรัม ไขมัน 0 กรัม วิตามินซี 5 คิดเป็น 3% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน วิตามินบี 6 คิดเป็น 8% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน โฟเลต คิดเป็น 8% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน วิตามินเค คิดเป็น 6% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน โพแทสเซียม คิดเป็น 12% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน และแมกนีเซียม คิดเป็น 4% ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน
ด้วยโภชนาการทั้งหมดนี้ของ เมล่อน ทำให้มันสามารถสร้างประโยชน์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “ลดความดันโลหิตสูง” ซึ่งเมล่อนเป็นผลไม้ที่มีโซเดียมต่ำและมีโพแทสเซียมสูง ช่วยรักษาระดับความดันโลหิตให้แข็งแรง ช่วยลดความเสี่ยงของความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ , “บำรุงกระดูก” การที่อุดมไปด้วยโฟเลต วิตามินเค และแคลเซียม มีส่วนสำคัญในการบำรุงกระดูก ช่วยป้องกันการสึกหรอของกระดูก และช่วยเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรง
“เมล่อน” ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว โดยหลังจากการออกกำลังกาย เพียงกินเมล่อนหรือน้ำเมล่อน จะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้คุณและเติมความชุ่มชื่นให้กับผิว , “เสริมคอลลาเจนให้ผิว” ซึ่งเมล่อนมีวิตามินซีสูง มีความเกี่ยวข้องในการผลิตคอลลาเจน ที่เป็นโปรตีนช่วยในการซ่อมแซมผิวหนังไม่ให้เสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร นอกจากนี้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประสิทธิภาพในปกป้องผิวอีกด้วย , “เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน” ซึ่งวิตามินซีจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ปกป้องผิวจากแสงแดด ป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ และรักษาระบบต่างๆภายในร่างกาย , “ช่วยระบบย่อยอาหาร” ไฟเบอร์จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ช่วยเพิ่มแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ , และ “บำรุงดวงตา” สารประกอบแคโรทีนอยด์ในเมล่อนช่วยบำรุงสุขภาพดวงตา ช่วยให้การมองเห็นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
มากด้วยประโยชน์และกินหอมหวานอร่อยเช่นนี้ พร้อมทั้งยังไม่มีไขมัน คอเลสเตอรอล และมีแคลอรีต่ำ เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก จึงทำให้ชาวญี่ปุ่นมักจะนิยมนำ “เมล่อน” ไปเป็นของเยี่ยมไข้ผู้ป่วย ซึ่งหากท่านใดอยากอร่อยคลายร้อนและได้ประโยชน์ไปกับ เมล่อน ก็เลือกซื้อเลือกหาได้ตามท้องตลาดทั่วไป หรือสั่งได้ที่ อาร์มฟาร์ม นอกจากที่นี่จะมีเมล่อนขายแล้ว ยังรับทำโรงเรือนปลูกเมล่อน และให้คำปรึกษาสำหรับผู้ที่สนใจปลูกอีกด้วย โดยสามารถติดต่อได้ที่ FB : อาร์มฟาร์มเมล่อนลำพูน