6 ความจริง!!! ที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับ “แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล”

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล คือขบวนการของคนธรรมดามากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก ที่ร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อสังคมที่เท่าเทียมและยุติธรรมสำหรับทุกคน เป็นอีกหนึ่งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร หรือ “เอ็นจีโอ” ที่เข้ามาบทบาทในประเทศประเทศไทย จากการทำกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ เพื่อเรียกร้องสิทธิให้แก่ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ แต่ถึงกระนั้นหลายคนก็ยังคงมีความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล วันนี้จึงถือโอกาสพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับองค์กรผ่าน 6 ความจริงที่หลายท่านยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

“แอมเนสตี้เข้ามามีบทบาทในไทยจากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519”
นับแต่เหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาและประชาชนภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 จนทำให้กลายเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ไทย และยังเป็นความทรงจำอันมืดมนของใครหลายๆคน และเหตุการณ์ในวันนั้นเองที่ทำให้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เริ่มเป็นที่รู้จักของชาวไทยในนามองค์กรนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เพราะจดหมายนับแสนฉบับที่ถูกส่งมายังรัฐบาลไทย เพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักศึกษาและประชาชนที่ถูกจับกุมจากการประท้วง ซึ่งจดหมายเหล่านั้นล้วนแต่มาจากผู้สนับสนุนแอมเนสตี้ทั่วโลก และในพ.ศ. 2536 เป็นครั้งแรกที่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างจริงจัง มีการเลือกตั้งคณะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ที่สนใจสิทธิมนุษยชนแขนงต่างๆในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และจดทะเบียนในฐานะสมาคมตามกฎหมายไทยภายใต้ชื่อ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เพื่อร่วมทำงานพัฒนาสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรมด้วยความร่วมมือจากผู้สนับสนุนทุกคนในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2546

“สำนักงานใหญ่ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล”
สถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนยังคงมีความเข้าใจผิดที่ว่าตั้งอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในความเป็นจริงแอมเนสตี้มีจุดกำเนิดมาจาก ปีเตอร์ เบเนนสัน ทนายความชาวอังกฤษ ผู้เขียนบทความเรียกร้องปล่อยตัวนักศึกษาชาวโปรตุเกสสองคน ที่โดนรัฐบาลเผด็จการจับติดคุกเพียงเพราะดื่มเหล้าและชนแก้วสดุดีเสรีภาพ ดังนั้นจึงทำให้สำนักงานใหญ่ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลตั้งอยู่ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

“เงินสนับสนุนของแอมเนสตี้”
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นองค์กรที่ทำงานเพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้แก่ผู้ที่ถูกละเมิดผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งอาจทำให้หลายคนสงสัยว่าองค์กรมีเงินจัดกิจกรรมเหล่านั้นได้อย่างไร และบางคนมีความเข้าใจผิดที่ว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นองค์กรที่รับเงินมาจากรัฐบาลต่างประเทศ แต่ในความเป็นจริงนั้น เงินทุนสำหรับการจัดกิจกรรมล้วนแต่มาจากการรับบริจาคของบุคคลทั่วไป ที่มีความสนใจด้านสิทธิมนุษยชน และค่าสมัครสมาชิกในแต่ละปี เพราะแอมเนสตี้เป็นองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหาผลกำไร และปฏิเสธที่จะรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล หรือแหล่งทุนอื่นๆ

“เป็นองค์กรที่ไม่ฝักใฝ่ทางการเมือง”
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นองค์กรที่รณรงค์ในประเด็นเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน โดยไม่ฝักใฝ่อุดมการณ์ทางการเมือง หรือลัทธิใดๆ เน้นทำงานเกี่ยวกับการรณรงค์เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม และการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนแก่ประชาชนทั่วไปเท่านั้น เนื่องจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล มีพันธกิจเพียงเพื่อให้สังคมเกิดการตระหนักถึงสิทธิมนุษยชน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบใด แอมเนสตี้ก็ยังต้องทำงานเพื่อเรียกร้องหรือกดดันให้ประเทศนั้นๆ ยกระดับและยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน โดยไม่มองว่าเป็นประเทศคอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตย รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งหรือว่ารัฐประหาร เพราะทุกระบอบการปกครองล้วนมีการละเมิดสิทธิเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

“มีสำนักงานกระจายตัวอยู่ทั่วโลก”
เนื่องด้วยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในสังคมเราในปัจจุบันยังคงมีผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิอยู่มากมาย จึงทำให้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่มีสมาชิกและผู้สนับสนุนกว่า 10 ล้านคน ในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก และมีสำนักงานกระจายตัวอยู่กว่า 70 ประเทศ ยังคงต้องยืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อความถูกต้อง และเพื่อให้สังคมเกิดความเท่าเทียมกันทางด้านสิทธิมนุษยชน และการที่เรามีสำนักงานกระจายตัวอยู่ในหลายประเทศก็สามารถทำให้เราทราบได้ว่าสถานการณ์ของโลก ณ ตอนนี้เป็นอย่างไร

“ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมาแล้วกว่า 60 ปี”
ตลอดระยะเวลาการทำงานเพื่อสังคมที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนมาแล้วกว่า 6 ทศวรรษ หากนับเป็นตัวเลขของอายุคนเราก็คงเป็นคนหนึ่งที่กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวัยสุดท้ายของชีวิต และเป็นวัยที่ทุกอย่างเริ่มเชื่องช้าลง แต่กับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังคงยืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อให้สิทธิมนุษยชนเกิดความเท่าเทียมมากกว่าที่เป็น จนทำให้เกิดความสำเร็จมากมาย อาทิ การได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญในการปกป้องเสรีภาพ ความยุติธรรม และสันติภาพในโลกในปี 2520 หรือล่าสุด ฆาลิด ดราเรนี นักข่าวชาวแอลจีเรียได้รับการปล่อยตัว หลังจากถูกคุมขังเพียงเพราะทำหน้าที่รายงานข่าวเมื่อปี 2563 นอกจากนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังคงทำหน้าที่เป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนให้กับบุคคลที่ถูกละเมิด เพราะเรามีความเชื่อมั่นว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาล้วนมีความเท่าเทียม ไม่ควรมีใคถูกกดให้ต่ำลง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *