“พระธาตุเจดีย์หลวง” สัญลักษณ์ของศูนย์กลางจักรวาล ตามความเชื่อลัวะและพราหมณ์

“พระธาตุเจดีย์หลวง” ใน “วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร” อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระธาตุเจดีย์ที่มีความสูงที่สุดในล้านนา ด้วยความสูงประมาณ 80 เมตร มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณด้านละ 60 เมตร เป็นอีกหนึ่งเจดีย์ที่มีความสำคัญที่สุดของเมืองเชียงใหม่

“พระธาตุเจดีย์หลวง” สร้างขึ้นในสมัยพญาแสนเมืองมา (ประมาณปีพ.ศ. 1928 – 1945) กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย โดยสร้างขึ้นเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่พญากือนา พระราชบิดา ซึ่งตำนานเล่าว่า “พญากือนาซึ่งได้สวรรคตไปแล้ว ได้ปรากฏตัวแก่พ่อค้าชาวเชียงใหม่ที่เดินทางไปค้าขายที่พม่า ให้มาบอกแก่พญาแสนเมืองมาผู้เป็นโอรสว่า ให้สร้างเจดีย์ไว้ท่ามกลางเวียง ให้สูงใหญ่พอให้คนที่อยู่ไกล 2,000 วา สามารถมองเห็นได้ แล้วอุทิศบุญกุศลเหล่านี้ให้แก่พญากือนา เพื่อให้พญากือนาสามารถไปเกิดในเทวโลกได้” แต่พญาแสนเมืองมาเสด็จสวรรคตเสียก่อน พระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวีผู้เป็นมเหสีได้สืบทอดเจตนารมณ์สร้างต่อ จนแล้วเสร็จในสมัยพญาสามฝั่งแกน โดยใช้เวลาสร้างทั้งสิ้น 5 ปี

ต่อมาในพ.ศ. 1984 – 2030 ได้มีการปฏิสังขรณ์พระธาตุเจดีย์หลวงในสมัยพญาติโลกราช พระองค์โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคต นายช่างใหญ่ทำการปฏิสังขรณ์ มีพระมหาสวามีสัทธัมกิติ เจ้าอาวาสองค์ที่ 7 ของวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เป็นกำลังสำคัญในการควบคุมดูแล และประสานงาน ในการปฏิรูปและก่อสร้างครั้งนี้ได้สร้างขยายเจดีย์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ใช้เวลาในการก่อสร้าง 3 ปีจึงแล้วเสร็จ

ในสมัยมหาเทวีจิรประภา รัชกาลที่ 15 แห่งราชวงศ์มังราย ได้เกิดพายุฝนตกหนักและแผ่นดินไหว เป็นเหตุให้พระธาตุเจดีย์หลวงได้พังทลายลงมาเหลือเพียงครึ่งองค์ จากนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้นานกว่า 4 ศตวรรษ โดยพระมหาเจดีย์หลวงที่เห็นในปัจจุบันนี้กรมศิลปกรได้บูรณปฏิสังขรณ์เสร็จไปเมื่อ พ.ศ. 2535

“พระธาตุเจดีย์หลวง” ตามคติความเชื่อเรื่องจักรวาลวิทยาของชาวลัวะผสมผสานกับความเชื่อของพราหมณ์ที่ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก เชื่อว่า พระธาตุเจดีย์หลวง เป็นสัญลักษณ์ของศูนย์กลางจักรวาล คตินี้เห็นได้ชัดจากการสร้างเจดีย์หลวงให้สูงใหญ่ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เช่นเดียวกับเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางจักรวาล โดยปัจจุบันบริเวณวัดเจดีย์หลวงฯ มีสิ่งสักการะหลากหลายได้แก่ เจดีย์หลวง อินทขีล ต้นยาง กุมภัณฑ์ และพระฤๅษี ที่สะท้อนถึงพัฒนาการคติจักรวาลได้ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่แวดล้อมของเมือง

คติเจดีย์หลวงในฐานะศูนย์กลางจักรวาล ปรากฏในคัมภีร์มหาทักษาเมือง กล่าวถึง การสร้างวัดสำคัญในเมืองเชียงใหม่ 9 แห่ง โดยกำหนดให้สอดคล้องกับชัยภูมิ และความเชื่อเรื่องทิศทั้ง 4 และทิศเฉียงอีก 4 ทิศ เป็น 8 ทิศ เมื่อทิศทั้ง 8 มาบรรจบกัน จึงเกิดเป็นจุดศูนย์กลางรวมกันเป็น 9 ถือเป็นเลขมงคล ตำแหน่งจุดศูนย์กลางเมืองเป็นสะดือเมือง กำหนดให้เป็นเกตุเมืองตรงกับวัดเจดีย์หลวง ซึ่งวัดทั้ง 8 แห่งที่สร้างตามทักษาเมือง คือ บริวารเมือง ทิศตะวันตก (ทิศปัจฉิม) “วัดสวนดอก” , อายุเมือง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (ทิศพายัพ) “วัดเจ็ดยอด” , เดชเมือง ทิศเหนือ (ทิศอุดร) “วัดเชียงยืน” , ศรีเมือง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (ทิศอีสาน) “วัดชัยศรีภูมิ” , มูลเมือง ทิศวะวันออก (ทิศบูรพา) “วัดบุพพาราม” , อุตสาหเมือง ทิศตะวันออกเฉียงใต้ (ทิศอาคเนย์) “วัดชัยมงคล” , มนตรีเมือง ทิศใต้ (ทิศทักษิณ) “วัดนันทาราม” และกาลกิณีเมือง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ (ทิศหรดี) “วัดตโปทาราม” (วัดร่ำเปิง)

รอบๆฐานพระธาตุเจดีย์หลวง จะเห็น “ช้าง” ครึ่งตัวประดับอยู่ โดยพระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวีเมื่อครั้งทรงก่อสร้างพระธาตุเจดีย์หลวงนั้น พระนางทรงให้ยกฉัตรยอดมหาเจดีย์แล้วปิดด้วยทองคำ พร้อมทั้งเอาแก้ว 3 ลูก ใส่ยอดเจดีย์ไว้ ประดับด้วยโขงประตูทั้ง 4 ด้าน มีพระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่งในโขงทั้ง 4 ด้าน มีรูปพญานาคปั้นเต็มตัว 8 ตัว ตัวละ 5 หัว อยู่ใน 2 ข้างบันได รูปปั้นราชสีห์ 4 ตัว ตั้งอยู่ตรงสี่มุมของมหาเจดีย์ มีรูปปั้นช้างค้ำรายล้อมรอบองค์เจดีย์ 28 เชือก แต่ในประวัติศาสตร์มีเพียง 8 เชือกเท่านั้น ที่มีการตั้งชื่อให้เฉพาะ ซึ่งชื่อช้าง 8 เชือกที่ล้อมเจดีย์หลวง นับจากนับตามลำดับตั้งแต่ตัวที่อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเวียนมาตามทิศตะวันออก มีดังนี้ เมฆบังวัน , ข่มพลแสน , ดาบแสนด้าม , หอกแสนลำ , ปืนแสนแหล้ง , หน้าไม้แสนเกี๋ยง , แสนเขื่อนก๊าน และไฟแสนเต๋า

โดยการสร้างรูปปั้นช้างนั้น เป็นการส่งเสริมกำลังเมืองในทางด้านไสยศาสตร์ เพื่อให้เมืองมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีพิธีการสักการบูชาพญาช้างทั้ง 8 เชือก เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดสวัสดิมงคล นำความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง ศัตรูไม่กล้ามารุกรานย่ำยี เพราะชื่อพญาช้างที่ตั้งขึ้นนั้น เป็นพลังอำนาจก่อเกิดเดชานุภาพ อิทธิฤทธิ์ ข่มขู่บดบัง ขวางกั้น กำจัด และปราบปรามอริราชศัตรู ที่จะมารุกรานให้แพ้ภัย ซึ่งแต่ละชื่อมีความหมาย ได้แก่

  1. เมื่อศัตรูยกพลเสนามารุกราน ล่วงล้ำเข้ามาในเขตพระราชอาณาจักร จะเกิดอาเพศ ท้องฟ้ามืดมิดด้วยเมฆหมอกปกคลุม ธรรมชาติวิปริตแปรปรวน น่ากลัวยิ่งนัก ทำให้ผู้รุกรานหวาดผวาภัยพิบัติ ตกใจกลัวแตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “เมฆบังวัน”
  2. เมื่อผู้รุกรานยกทัพเข้ามาใกล้ แม้จะมีพลโยธาทหารกล้าเรือนแสน ก็จะเกิดอาการมึนเมาหลงลืม ไม่อาจครองสติอยู่ได้ ต้องระส่ำระส่าย แตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “ข่มพลแสน”
  3. เมื่อข้าศึกศัตรูผู้รุกรานเข้ามา แม้จะมีกำลังพลมากมาย มีศาตรา มีด พร้า ด้ามคมเป็นแสนๆเล่ม ก็ไม่อาจเข้าใกล้ทำร้ายได้ มีแต่จะเกิดหวาดหวั่นขาดกลัวแตกหนีไป จึงได้ชื่อว่า “ดาบแสนด้าม”
  4. เมื่อข้าศึกศัตรูผู้รุกรานเข้ามารานรบ แม้จะมีกำลังพลกล้าหาญมากมาย มีศาสตราอันคมยาว หอกแหลนหลาวเป็นแสน ก็ไม่อาจเข้ามาราวีได้ จึงต้องแตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “หอกแสนลำ”
  5. เมื่อข้าศึกศัตรูผู้รุกรานเข้ามา แม้จะมีกำลังพลจำนวนมาก มีอาวุธปืนเป็นแสนกระบอก ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ ต้องแตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “ปืนแสนแหล้ง”
  6. เมื่อผู้รุกรานบุกรุกเข้ามา แม้จะมีกำลังพลมากมาย มีหน้าไม้คันธนูเป็นแสน ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ ต้องแตกพ่ายหนีไป จึงได้ชื่อว่า “หน้าไม้แสนเกี๋ยง”
  7. เมื่อข้าศึกอาจหาญล้ำแดนเข้ามา แม้ด้วยกำลังพลหัตถีนึก กองทัพช้างมีเป็นแสนเชือก ก็ไม่อาจหักหาญเข้ามาได้ มีแต่จะอลม่านแตกตื่นแกหนีไปสิ้น จึงได้ชื่อว่า “แสนเขื่อนก๊าน”
  8. เมื่อข้าศึกเข้ามาหมายย่ำยี ก็จะเกิดอาการร้อนเร่าเหมือนเพลิงเผาผลาญรอบด้าน เลยแตกพ่ายหนีไปด้วยความทุกข์ทรมาน จึงได้ชื่อว่า “ไฟแสนเต๋า”

ปัจจุบัน “พระธาตุเจดีย์หลวง” ได้รับการบูรณะอยู่เนืองๆ ซึ่งล่าสุด สมาคมสถาปนิกล้านนาฯ (ASA Lanna) x ศูนย์นวัตกรรมล้านนาสร้างสรรค์ (CLIC: Arch CMU) ได้ทดลองแสงการจำลองพระธาตุเจดีย์หลวงแบบเต็มองค์ขึ้น เพื่อเติมเต็มความสูงขององค์เจดีย์หลวง ให้ได้เห็นองค์เจดีย์ในอดีต โดยอ้างอิงรูปทรงกับความสูงจากการศึกษาเทียบเคียงหลักฐานตำนาน และข้อสันนิษฐานหลายแห่งจากนักวิชาการและนักประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมล้านนาหลายท่าน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *